ร้านบูชาสังฆภัณฑ์ online
จำหน่ายพระพุทธรูป เครื่องสังฆภัณฑ์ หรือของใช้ทำบุญ
สำหรับชาวพุทธ พระพุทธรูป พระประจำวันเกิด เครื่องอัฐบริขาร ฯ

สอบถาม และสั่งซื้อได้ที่
โทร.08-3179-9099
ติดตามข่าวสาร หรือชม
ภาพสินค้า และกิจกรรมต่าง ๆ
     
     
     
     
  • Home
    • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับเรา
    • ความเป็นมา
  • หมวดสินค้า
    • สินค้าใหม่
    • พระพุทธรูป
    • ตาลปัตร
    • อาสนะ
    • พระแก้วมรกต
    • พระไตรปิฎก
    • ตู้พระไตรปิฎก
    • เครื่องบวช
    • ระฆังฆ้องกลอง
    • เครื่องกฐิน
    • ผ้าไตร
    • ฉัตรแบบต่างๆ
    • ดูทั้งหมด
  • บริการ
    • รับทำตาลปัตร
      • ตัวอย่าง
    • รับทำย่าม
      • ตัวอย่าง
  • ข่าวสาร
    • ข่าวบุญ
  • ติดต่อเรา
    • การสั่งซื้อ
    • การชำระเงิน
  • บทความธรรมะ
    • ศาสนาพุทธ
    • อานิสงส์การทำบุญ
    • ธรรมะ
    • พุทธประวัติ
    • พระแก้วมรกต
    • กฏแห่งกรรม
    • VDO ธรรมะ
    • การบวช
  • weblink
Loading
   
เมนูสินค้า
 
Home
พระพุทธรูป
พระประจำวันเกิด
พระแก้วมรกต
ผ้าไตรจีวร
เครื่องบวชพระ
เครื่องกฐิน
ตาลปัตร ย่าม สัปทน
รับทำรับปัก
อาสนะ
ธรรมมาสน์,บุษบก
โต๊ะหมู่บูชา
โต๊ะหมู่บูชามุก,เครื่องมุก
โต๊ะแต่งงาน
ระฆัง ฆ้อง กลอง
ตู้พระไตรปิฎก
พระไตรปิฎกฉับกระเป๋า
พระไตรปิฎกฉบับ มจฬ.
ชุดกันหนาวพระสงฆ์
ตระเกียงน้ำมัน
ติดต่อเรา
 
 
การสั่งซื้อสินค้าจากบูชา
 
 
 

อานิสงส์สร้างธรรมาสน์
......ความว่าในสมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาของเราเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร พรั่ง
พร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้นยังมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อเมณฑก ที่ได้ชื่อเช่นนั้น 
เพราะเศรษฐีนั้นมีรูปแพะทองคำอันมีฤทธานุภาพมาก ภิกษุสงฆ์จึง
ได้โจทนากันอยู่ในคันธกุฏี

...... ในกาลครั้งนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งหนึ่ง ยังมีเมณฑกเศรษฐี แต่ในกาลครั้งก่อนนั้น ท่านได้เกิดมาในศาสนาของ
พระเจ้าวิปัสสีมีนามว่า อินทะเศรษฐีท่านมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา ได้สละทรัพย์ และ
น้ำพักน้ำแรงออกก่อสร้างธรรมาสน์ถวายเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าวิปัสสี เพื่อนั่งแสดงพระธรรมเทศนา 
และได้สร้างรูปแพะทองคำอีก ๕ ตัว รองเป็นบันไดขึ้นเพื่อเสด็จไปเทศน์ได้โดยสะดวก เมื่อเสร็จแล้ว
ท่านก็ได้ถวายแก่พระวิปัสสีพุทธเจ้า พร้อมทั้งตั้งความปณิธานว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จด้วยฤทธิ์แพะ
ทองคำนี้เถิด

...... กาลต่อมาครั้นสิ้นอายุขัย เศรษฐีนั้นได้ไปเกิดบนสวรรค์ มีวิมานทองสูงได้ ๑๐ โยชน์ มี
นางฟ้าเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร วิมานนั้นประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ อันรุ่งเรืองลือชาปรากฏใน
เทวโลกนั้น ชื่อว่าอินทกเทวบุตร ครั้นจุติจากชั้นดาวดึงส์ ก็ได้มาบังเกิดในเมืองพาราณสีได้เป็นมหา
เศรษฐีมีข้าวของเป็นอันมากหาที่จะนับจะประมาณมิได้ ครั้นสิ้นชีพอายุขัยก็ได้นำตนไปอุบัติในเทวโลก
อันเป็นเทวสถานอันอุดมโอฬารไพศาลของพวกเทพนิกรอีกครั้ง จนกระทั่งถึงศาสนาแห่งพระพุทธเจ้า
ของเรา จึงก็ได้จุติจากเทวโลกมาบังเกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี ครั้นเมณฑกกุมารเจริญวัยขึ้นได้ ๑๖ ปีนั้น 
แพะทองคำก็จึงทำฤทธิ์ให้เงินทองข้าวของในท้องแพะนั้นไหลออกมาเป็นอันมาก เมณฑกกุมารได้เสวย
ซึ่งสมบัติข้าวของเหล่านั้นจึงมีนามว่า เมณฑกเศรษฐี นี้ก็ด้วยผลที่ท่านมีใจเจตนาดี หรือหวังดีต่อพระ
ศาสนาต้องการสร้างถาวรวัตถุให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน จนตลอดมาถึงทุกวันนี้ก็ย่อมได้รับ
อานิสงส์ตามความปรารถนาของท่าน

http://www.84000.org/anisong/31.html
 
 

 
ความเป็นมาของบุษบก
บุษบก คือ ซุ้มยอด ซึ่งมีหลังคาซ้อนชั้นเป็นยอดแหลม มีบันแถลง (ส่วนที่คล้ายกระจัง) ประดับโดยรอบ ซึ่งความหมายของบันแถลงนี้มีอยู่ว่า เป็นการจำลองอาคารหนึ่งๆ ด้วยการนำส่วนที่เรียกว่าหน้าบันมาซ้อนชั้นกันขึ้นไป โดยมากซ้อนกันสามชั้น หมายความว่า การประดับด้วยบันแถลงนี้ เป็นการจำลองอาคาร สะท้อนความหมายของเรือนฐานานุศักดิ์ หรือเรือนฐานันดรสูงได้เช่นกัน
      
บุษบก บุษบกมีด้วยกัน ๒ ขนาด คือ ขนาดเล็ก
ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป และขนาดใหญ่ ใช้ในการ
เสด็จออกว่าราชการของพระเจ้าแผ่นดิน

จากประวัติความเป็นมา และข้อมูลที่พอทำให้ทราบว่า บุษบกขนาดเล็ก
ซึ่งใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น ปรากฏชัดเจนในสมัยรัตนโกสินทร์ ที่สำคัญได้แก่
บุษบกที่ประดิษฐานพระพุทธรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นบุษบก ที่สร้าง ด้วยไม้สลักหุ้มทองคำทั้งองค์ และฝังอัญมณีต่างๆ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้มีการสร้างพระเบญจาสามชั้นหุ้มด้วยทองคำเป็นฐานชุกชี
ซึ่งเป็นการหนุนให้องค์บุษบกสูงสง่าขึ้น

บุษบกที่ประดิษฐานพระพุทธรัตนปฏิมากรนี้ ถือว่าเป็นแบบอย่างของการสร้างบุษบก เพื่อประดิษฐานพระประธานในอุโบสถอย่างมาก ดังจะพบว่าในระยะต่อมา มีการสร้างบุษบก เพื่อประดิษฐานพระประธานในวัดหลวงอีกจำนวนไม่น้อย อาทิ พระพุทธสิหิงคปฏิมากร พระประธานในพระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ วัดประจำรัชกาลที่ ๔ โดยสร้างบุษบกที่มีชั้นซ้อนลดชั้น จำนวน ๔ ชั้น ประดับด้วยนาคปักที่มุมของแต่ละชั้น ผนังของเรือนธาตุประดับกระจก และอัญมณี ซุ้มด้านหน้าทำเป็นซุ้มคดโค้ง ฉลุลายทองทั้งกรอบ มีคันทวยรองรับ เครื่องยอดของบุษบกนี้ มีรูปแบบเช่นเดียวกับเจดีย์ทรงเครื่อง
      
        และดูเหมือนว่าความนิยมในการสร้างบุษบก เพื่อประดิษฐานพระประธานในรัชกาลที่ ๔ ยังมีอยู่อย่างต่อ เนื่อง ดังปรากฏบุษบกที่ประดิษฐานของพระสัมพุทธสิริ พระประธานในพระอุโบสถของวัดโสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ โดยมีรูปแบบของบุษบกเช่นเดียวกับที่วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร แตกต่างกันเพียงผนังด้านหลังที่มีจารึกประดิษฐานไว้เท่านั้น
      
        นอกจากนี้ ยังพบว่า มีการสร้างบุษบกที่มีรูปแบบต่างไปจากเดิม คือ มีการสร้างในแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังบุษบกภายในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ รูปแบบของบุษบกทรงนี้ อาจกล่าวได้ว่า มีความ ใกล้เคียงกับพระราชวังอย่างเห็นได้ชัด เป็นการจำลองสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะคล้ายอาคารที่ประทับของกษัตริย์อย่างแท้ จริง
      
        ไม่เพียงบุษบกอันเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานในพระอุโบสถ และพระวิหารเท่านั้น ยังมีบุษบกที่สร้างขึ้นนอกพระอุโบสถอีกด้วย ดังเช่น บุษบกที่สร้างไว้ระหว่างประตูด้านหน้าทั้งสองข้างของพระอุโบสถ วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยตัวบุษบกนี้จำหลักลายวิจิตรปิดทองประดับกระจก ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป นฤมิต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ รัชกาลที่ ๒ เป็นต้น
      
        ดังจะเห็นได้ว่า การย่อส่วนของเรือนเครื่องสูง จะยังคง ลักษณะร่วมไว้ประการหนึ่ง นั่นคือ การซ้อนชั้นของหลังคา และการประดับด้วยบันแถลง อันมีความหมายของการซ้อนชั้นของอาคารอีกทีหนึ่ง แนวความคิดนี้ได้บ่งบอกว่า คือการยกย่อง และเป็นเรือนเครื่องสูงสำหรับผู้สูงศักดิ์ควรค่าแก่การสักการบูชา
 

 
ร้านบูชาสังฆภัณฑ์ โทร. :
08-3179-9099
website :
www.buchasangkapan.com
E-mail :
buchaskp@hotmail.com
 
Copyright © buchasangkapan 2011 All rights reserved.